เซนเซอร์ถอยหลังแบบแถบแม่เหล็กไฟฟ้านั้นมีข้อดีกว่าแบบอัลตร้าโซนิคที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ มันทำให้เราไม่ต้องเจาะกันชน แต่ว่าการทำงานของมันนั้นจะแตกต่างจาก การทำงานของเซนเซอร์ถอยหลังแบบอัลตร้าโซนิคอยู่นิดหน่อย คือ มันไม่สามารถจะตรวจจับเป็นระยะห่างที่ถูกต้องแบบอัลตร้าโซนิคได้ เพราะมันใช้การแผ่กระจายของสนามแม่เหลก็ไฟฟ้า ไม่ใช่การสะท้อนกลับมาของคลื่นเสียงที่มีค่าความเร็วคงที่เมื่อเดินทางผ่านอากาศ ทำให้เซนเซอร์ถอยหลังแบบอัลตร้าโซนิคสามารถแสดงผลระยะห่างเป็นตัวที่แม่นยำ ในขณะที่เซอร์แบบแถบแม่เหล็กทำไม่ได้ แต่ว่าเซนเซอร์แบบแถบแม่เหล็กไฟฟ้าก็มีข้อได้เปรียบอยู่หลายข้อ อาทิเช่น
เซนเซอร์แบบแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ต้องทำการเจาะกันชน เราสามารถใช้แถบฟอล์ยที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนสายอากาศ ติดเป็นแนบยาวไว้ด้านในของกันชนได้ดดยไม่ต้องทำการเจาะกันชน จึงทำให้ไม่เกิดความเสียหายต่อกันชนรถ อีกทั้งการตรวจจับสิ่งกีดขวางยังสามารถทำได้ต่อเนื่องตลอดแนวยาวของกันชน ไม่เกิดจุดบอดระหว่างเซนเซอร์เหมือนอย่างของอัลตร้าโซนิค และยังไม่ต้องคอยทำความสะอาดตัวเซนเซอร์เหมือนอย่างอัลตร้าโซนิคอีกด้วย เพราะเซนเซอร์อัลตร้าโซนิคนั้น ก็เปรียบเสมือนลำโพงความถี่สูงที่หูเราไม่ได้ยินนั้นเอง ดังนั้นหากมีสิ่งสกปรกเข้าไปบิดบังตัวเซนเซอร์ก็จะทำให้การทำงานผิดพลาดได้ในทันที ที่กล่าวมาทั้งหมดนี่คืดความแตกต่างระกว่างเซนเซอร์ทั้ง 2 แบบ
ส่วนการใช้งานเซนเซอร์แบบแถบแม่เหล็กนั้น เราไม่สามารถที่จะถอยเข้ามาที่เดียวแล้ว ค่อยๆดูระยะห่างตัวเลขหน้าจอเหมือนแบบอัลตร้าโซนิคได้ เนื่องจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ดังนั้นการทำงานของเซนเซอร์แบบแถบแม่เหล็กจึงทำงานเป็นช่วงๆ ตรวจจับรอบหนึ่งแล้วก็จบการทำงาน จากนั้นเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงของค่าสนามแม่เหล็กระบบก็จะเริ่มการทำงานอีกครั้ง ดังนั้นการใช้งานเซนเซอร์แบบแถบแม่เหล็กเราจึงต้องสังเกตุค่าระดับของเสียงหรือแถบสีตั้งแต่เริ่มต้นของแต่ละรอบการทำงาน
ยกตัวอย่างการทำงาน เช่น
- เราเริ่มทำการถอยรถเข้ามา แล้วปรากฎว่าเซนเซอร์แสดงผลโชว์ระดับสีแดง ซึ่งเป็นระดับใกล้สุดแล้วแต่จริงๆระยะห่างยังเหลืออีกเยอะ ให้เราหยุดรอจนระบบจบการทำงานรอบแรก
- จากนั้นจึงเริ่มถอยอีกครั้งเพื่อให้ระบบเริ่มทำงานครั้งต่อไปโดยสังเกตุว่าระดับแถบสีหรือความถี่ของเสียงเตือนนั้นเริ่มขึ้นที่ระดับใด
- ถ้ายังเริ่มขึ้นที่ระดับสีเขียว แสดงว่าระยะห่างยังเหลืออีกไกล
- แต่ถ้าเริมที่ระดับสีเหลืองแสดงว่าระยะด้านหลังเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว ให้เราถอยเข้าไปเรื่อยๆจนถึงระดับสีแดงอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงหยุดรอให้จบรอบการทำงาน
- ให้เราทำการถอยอีกครั้ง ถ้าเริ่มที่ระดับสีแดงเลยแสดงว่าใกล้กับสิ่งกีดขวางมากแล้วจริงๆ จึงหยุดการถอย เป็นการจบการทำงาน
สรุปการถอยแบบเซนเซอร์แถบแม่เหล็กจึงเป็นการถอยแบบหลายๆครั้ง โดยสังเกตุ ระดับการเตือนที่เริ่มต้นของแต่ละครั้งเป็นสำคัญ ถ้ายังไม่เริ่มต้นด้วยระดับใกล้สุดคือระดับสีแดง แสดงว่าระยะห่างด้านหลังยังห่างอยู
วิธีการติดตั้ง
รถที่ใช้ติดตั้งเป็นตัวอย่างนั้นคือรถ Chevrolet Optra ซึ่งมีคานหลังเป็นพลาสติกกันเอาไว้ จึงต้องทำการถอดกันชนออกมาติดตั้ง จึงจะสะดวกมากที่สุด โดยเราต้องทำการกะยะห่างระหว่างอุปกรณ์ให้พอดีกับสายเชื่อมต่อต่างๆ ระหว่างกล่องควบคุม ขั้วต่อเซนเซอร์ที่กันชน และรูที่จะเดินสายหน้าจอแสดงผลเข้าไปภายในห้องโดยสาร
การถอดกันชน: กันชนหลัง Optra นั้นไม่ยาก แต่มีข้อควรระหวังคือ ต้องทำการถอดไฟท้ายออกมาด้วย เพราะจะมีคลิ๊ปล็อคอยู่ 2 ตัวตรงกลางกันชน ที่มองไม่เห็นและจะถอดไม่ได้ หากไม่ถอดไฟท้ายออกมาก่อน นอกนั้น ก็สังเกตุ และไขออกมาได้ตามปกติ ต้องทำการถอดคลิ๊ปแผงพลาสติกด้านข้างออกมาด้วย
การติดแถบฟอล์ยสายอากาศ: ให้ทำความสะอาดด้านในกันชนด้วยน้ำหรือแอลกอฮอล์ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงกะระยะให้อยู่ในแนวกันชนที่ยื่นออกมามากที่สุด และต้องไม่สูงหรือต่ำเกินไป และให้ดูระยะขั้วต่อของฟอล์ยกับสายที่มาจากตัวกล่องด้วย และให้ระวังว่ามันจะไม่ไปติดกับอย่างอื่น อย่างเช่นช่องระบายอากาศด้านข้าง หลังจากที่เราใส่กันชนกลับเข้าไปแล้ว เพราะเราจะลอกแถบฟอล์ยออกมาได้ลำบาก จากนั้นเราสามารถแปะทับด้วยเทปกาวซ้ำอีกครั้งหนึ่งได้ เพื่อป้องกันความเสียหายกับแถบฟอล์ย
ติดกล่องวงจรหลัก: หาตำแหน่งติดกล่องวงจรหลัก แล้วหารูร้อยสายสัญญาณออกมา 1 เส้น ผ่านปลั๊กอุดที่เป็นยังด้านหลัง ประกอบกันชนหลังกลับเข้าไปแล้วต่อสายเซนเซอร์เข้ากับกล่องวงจร
ติดตั้งจอแสดงผล: การติดตั้งจอแสดงผลนั้น ให้เดินเข้าไปกับแนวสายไฟเดิม จากรุ่นนี้ จะอยู่ทางด้านซ้ายบนมีฟองน้ำอุดอยู่ด้วย โดยเราต้องทำการถอดเบาะหลังออก แล้วทำการถอดเฟรมพลาสติกบริเวณเสาหลังคาหลังด้านในออก แล้วค่อยๆร้อยสายเข้ามาก หลังจากนั้นก็เลือกตำแหน่งติดได้ตามชอบใจ ถ้าไม่อยากรื้อเยอะก็ติดตามตัวอย่างในรูปก็ได้ครับ
ต่อไฟเข้าระบบ: ไฟ 12 โวลต์นั้นจะต่อมาจากหลอดไฟถอยหลังครับ ให้ดูที่ขั้วหลอดไฟถอยหลัง แล้วพ่วงออกมาเข้ากล่องวงจร เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
จากนั้นก็ทำการทดสอบการใช้งาน โดยมีวิธีการตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นครับ